วันจันทร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

คนไทยวันนี้จะเชื่อข่าวสารจากฝ่ายไหน

น่าเห็นใจคนไทยวันนี้มาก มีภาวะวิกฤตข้อขัดแย้งทางการเมืองอย่างรุนแรง ระหว่าง รบ.รก.และมวลมหาชนของ กปปส. ต่างฝ่ายต่างก็เผยแพร่ข่าวสารออกมาให้ประชาชนทราบ แต่น่าประหลาดที่เรื่องเดียวกัน กลับมีข้อมูลแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะสื่อมวลชนเกือบจะทุกสาขา ก็มีการแบ่งฝ่ายเชียร์กันอย่างชัดเจน ประชาชนที่ต้องการข่าวสารที่เป็นความจริง ไม่บิดเบือนประเภทเอาดีใส่ตัว เอาชั่วให้คนอื่น แม้นักวิชาการเกือบจะทุกสถาบัน ก็มีการแบ่งฝ่ายกันอีก
คนไทยวันนี้เสมือนตกอยู่ในวังวนของสงครามข่าวสาร หาความเป็นกลางทางข่าวสารได้อย่างยากเย็น ยิ่งเสพข่าวสารมากเพียงใด อาการเสียสุขภาพจิตก็กำลังถามหา
จะมีแหล่งข่าวสารใดที่จะเป็นที่พึ่งให้คนไทยวันนี้ได้บ้าง

วันจันทร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2555

จะใช้ชีวิตอย่างไรในวัยสูงอายุ

ผมมักจะได้รับคำถามทำนองนี้บ่อยๆว่า เมื่อมีวัยสูงอายุหรือจะเรียกง่ายๆว่าแก่มากขึ้น จะใช้(บริหาร)ชีวิตอย่างไร(ให้มีความสุข) ผมเองก็ไม่รู้ว่ามีหลักการหรือทฤษฏีอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้าง จึงตอบคำถามนี้ไปแบบชาวบ้านๆว่า
1. ดูแลสุขภาพตนเองให้ดี หมายความว่าหากไม่มีโรคประจำตัวก็ถือว่าโชคดี หากมีโรคประจำตัวก็พยามทำตัวใกล้หมอ ปฏิบัติตามคำแนะนำของหมออย่างเคร่งครัด ผมมีหลักการเป็นส่วนตัวว่า หมอเป็นเพียงผู้ค้นพบว่าเราเป็นโรคอะไร และให้คำแนะนำในการกินยาหรือปฏิบัติตัว แต่ที่สำคัญตัวเราเองนั่นแหละเป็นผู้รักษาตัวเอง เพราะไม่มีใครที่จะรู้ดีไปกว่าตัวเรา
2. อย่าเครียด อย่าพยายามทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ มองบุคคลที่อยู่รอบตัวหรือลูกหลานว่า ทุกคนล้วนแต่มีเรื่องของเขาที่เป็นภาระที่เขาต้องดูแลอยู่แล้ว อย่าพยายามเอาตัวเราไปเพิ่มภาระให้เขาอีก อย่าน้อยใจว่าไม่มีใครมาดูแลเรา แล้วเกิดอารมณเครียด
3.พยายามช่วยตนเองให้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารการกิน ความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวัน ไปโรงพยาบาล ฯลฯ
4.หางานอดิเรกให้ตนเองทำ เพื่อมิให้เกิดความเหงา หรือมีชีวิตอยู่ไปแบบเซ็งๆ
5.หาโอกาสไปเที่ยวพักผ่อนบ้าง บางคนอาจจะเข้าวัดฟังธรรมหรือไปคุยกับพระสงฆ์องค์เจ้าก็ไม่ว่ากัน
6.พยายามนึกว่าอายุเป็นเพียงตัวเลขที่บอกเราว่า เราใช้ชีวิตอยู่ในโลกนี้มานานเท่าไรแล้ว เราใช้ร่างกายที่เป็นตัวเรานี้มานานเท่าไรแล้ว ร่างกายก็เสมือนบ้านพักอาศัย มันต้องมีการชำรุดเสียหายบ้างเป็นธรรมดา อย่าไปวิตกกังวลกับมันมากนัก มันชำรุดเสียก็พยายามรักษามันไปเท่าที่จะทำได้ รักษาไม่หายเราก็ไปหาร่างใหม่อยู่แทน (ตายแล้วเกิดใหม่)
7.ขอให้มีความเชื่อในเรื่อง บาป บุญ กรรม พยายามทำแต่ความดี อย่าทำกรรมชั่ว เพราะมันจะติดตัวเราไปตลอด แบบเงาติดตามตัวเรา
8.อย่าตั้งอยู่ในความประมาท เช่นการใช้ชีวิตประจำวันในการเข้าห้องน้ำ ขึ้นลงบันได ขึ้นลงรถเวลาออกจากบ้านไปทำธุระที่ต่างๆ เพราะหากเกิดอุบัติเหตุแล้วจะแก้ไขลำบาก
9.ดูแลเรื่องอาหารการกิน อย่ากินตามใจอยาก ต้องนึกอยู่เสมอว่าทุกคำที่กินอะไรเข้าไป ล้วนมีผลต่อร่างกายทั้งนั้น พยายามกินแต่ของที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย (เช่นผัก ผลไม้ ฯลฯ) มันจะดีต่อระบบขับถ่ายของร่างกาย

ตามที่กล่าวมาข้างต้นนี้คือวัตรปฏิบัติ ที่ผมพยายามทำอยู่เสมอ ทุกวันนี้ผมก็ภูมิใจว่ามีอายุมากขนาดนี้แล้ว ผมยังมีความสุขได้ตามอัตถภาพ
ลองพยายามทำนะท่าน

วันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2555

คอลัมน์ซุบซิบใน นสพ.รายวันสมัยก่อน

ผมจำได้ว่าสมัยที่เทคโนโลยีด้านไอทียังไม่เจริญเท่าวันนี้ ผู้คนทั่วไปที่สนใจอยากรู้เรื่องของชาวบ้าน ไม่ว่าจะระดับไหน มักจะนิยมอ่านคอลัมน์ประเภท กอสสิป หรือที่คนไทยเราคุ้นเคยกันในชื่อว่า "ซุบซิบ" นั่นเอง
ประมาณ 25-30 กว่าปี คอลัมน์ซุบซิบ ในนสพ.รายวันที่คนนิยมอ่านกัน เห็นจะมีสองสามฉบับคือ

-คอลัมน์"ลัดดาซุบซิบ" นสพ.รายวันยักษ์ใหญ่ไทยรัฐ
-คอลัมน์ "อนันตน์ธนาพาที" นสพ.รายวันเดลินิส์
-คอลัมน์ "พอใจไขข่าว" นสพ.เดลิไทม์

ทั้งสามคอลัมน์นี้คนอ่าน นสพ.สมัยนั้นนิยมอ่านกันมาก รองลงมาจากข่าวสังคม หน้า 4 ซึ่งเป็นข่าวย่อยเกี่ยวกับบุคคล เหตุการณ์บ้านเมืองในสมัยนั้นๆ

ถามว่าผู้เขียนคอลัมน์ซุบซิบเหล่านี้เอาเรื่องใครต่อใครมาเขียนได้อย่างไร ทุกวันทุกเดือน เป็นปี คำตอบคือผู้เขียนคอลัมน์เหล่านี้จะต้องรู้จักคนมาก และบางคนมีแหล่งข่าวคอยป้อนข้อมูลให้ว่า ใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร เป็นต้น

บางท่านก็ยังทำกิจกรรมเหล่านี้อยู่ แต่เปลี่ยนรูปแบบมาทำเป็นรายการออกอากาศทาง ทีวี แทน เช่น "คอลัมน์ลัดดาซุบซิบสุดสัปดาห์" ออกอากาสทาง ทีวี TNN 24 เป็นต้น แต่ยังรักษาเอกลักษณ์และอรรรสให้คงที่เหมือนเดิม ผู้คนที่เป็นแฟนคลับก็กลับมาติดตามดูเหมือนเช่นที่เคยอ่านในหน้า นสพ.รายวัน เมื่อก่อน

แต่วันนี้พฤติกรรมของคนสมัยใหม่มีเว็บไซต์ประเภท Social Network มาใช้แทน ซึ่งทันสมัยทันต่อเหตุการณ์และทันใจมากขึ้น
โดยสรุปแล้วคนเราก็ยังสนใจเรื่องของคนอื่นอยู่ดีนั่นเอง

วันพฤหัสบดีที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เปลี่ยนน้ำท่วม ให้เป็นน้ำใจ

วันนี้เป็นที่ทราบกันดีว่า ประเทศไทยกำลังประสบกับอุทกภัยน้ำท่วม มากกว่า 30 จังหวัดทั่วภาคกลางของประเทศ ความเป็นมาของอุทกภัยน้ำท่วมนี้มีหลากหลายสาเหตุ ผู้เขียนจะไม่นำมาเขียนไว้ที่นี้

สิ่งที่จะนำมาเขียนไว้ที่นี้คือ ความมีน้ำใจของคนไทยทุกหมู่เหล่า ทุกสาขาอาชีพ ทุกองค์กร และทุกสถาบันต่างๆ ต่างร่วมมือกันช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมในครั้งนี้ อาจจะไม่มีคนชาติใดในโลกนี้เสมอเหมือนเท่า ทรัพย์สินเงินทอง สิ่งของสารพัน ต่างหลั่งใหลไปสู่ทุกหมู่บ้านที่พี่น้องคนไทยประสบภัยน้ำท่วม ทุกคนต่างช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างเต็มที่เต็มใจ ไม่มีความเหน็ดเหนื่อยปรากฏให้เห็น ทุกคนมีความสุขใจที่ได้เห็นรอยยิ้มของผู้รับความช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็นคนชราภาพ เด็ก หรือผู้พิการ

ไม่ว่าผู้ประสบภัยจะอยู่แห่งหนตำบลใด บรรดาคนไทยผู้มีน้ำใจเหล่านี้จะดั้นด้นเข้าไปจนถึง ฝ่าสายฝนที่ตกกระหน่ำ ฝ่ายสายน้ำอันเชี่ยวกรากกลางทุ่งนาที่กลายเป็นทะเลเวิ้งว้างสุดสายตา เข้าไปช่วยเหลือจนถึงบ้านของผู้ประสบภัย พร้อมด้วยถุงยังชีพที่บรรจุสิ่งของที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตในยามยากลำบาก ฝ่ายรัฐบาลก็สั่งการให้ข้าราชการทหาร ตำรวจ จิตอาสาสมัครเข้าไปช่วยพี่น้องชาวไทย

ไม่ว่าสายน้ำจะหลากใหลมามากมายเพียงใด คนไทยผู้มีน้ำใจก็จะเปลี่ยนเป็นน้ำใจอันหลากล้น เพื่อช่วยพี่น้องชาวไทย ให้พ้นภัยครั้งนี้

วันเสาร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ในดีมีเสีย ในเสียมีดี

ผมนึกขึ้นมาได้ว่าเคยตั้งใจจะเขียนเกี่ยวกับ "เมลขยะ" หรือ Junk Mail สักครั้งหนึ่ง เมื่อประมาณหนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมาจึงไปเขียนลงเว็บไซต์ส่วนตัวที่ www.centuryboy.com สนใจลองเข้าไปอ่านดูนะครับ ผมทำลิงค์มาให้ท่านที่ด้านล่างนี้แล้ว เชิญครับท่าน
ขออภัยระบบไม่อนุญาตให้ทำลิงค์ครับ ท่านต้องเข้าไปที่เว็บไซต์ของผม ดูเมนูย่อยซ้ายมือ ชื่อ ชีวิตกับคอมพิวเตอร์ เอาเม้าส์ชี้จะมีชื่อเรื่องว่า โลกของ Forward Mail : FM ครับท่าน

บทบาทของ สก.สข.ใน กทม.


เชื่อว่ายังมีผู้คนใน กทม. หรือกรุงเทพมหานครอีกจำนวนมากที่ยังไม่เข้าใจว่า สก. สข. นี่คืออะไร มีบทบาททำอะไร โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่หรือผู้ที่เพิ่งจะได้รับสิทธิ์ในการเลือกตั้งใหม่ๆ

เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงครับ เพราะผมเพิ่งได้รับคำถามจากหลานชายคนหนึ่งเมื่อวานนี้ เขาเพิ่งได้รับสิทธิ์เลือกตั้งในปีนี้พอดี เขาถามผมว่า "ลุงครับ สก. สข.คืออะไรครับ เขามีหน้าที่ทำอะไรครับ"


ผมตอบเขาไปว่า สก.ย่อมาจากคำเต็มว่า สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร ส่วน สข.นั้นย่อมาจากคำเต็มว่า สมาชิกสภาเขต


ปกติคนเรามักจะเข้าใจว่าสภามีเพียงสภาเดียวคือ สภาผู้แทนราษฏร สมาชิกสภานี้คือ สส. และบางคนอาจจะเข้าใจเพิ่มขึ้นไปอีกว่า ยังมีอีกสภาหนึ่งคือ วุฒิสภา อยู่ที่เดียวกับสภาผู้แทนราษฏร สมาชิกสภานี้มีคำย่อว่า สว.


แต่ในความเป็นจริง กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีการปกครองพิเศษ ก็มีสภาเหมือนกัน สภานี้ทำหน้าที่คล้ายๆกับ สส. แต่บทบาทน้อยกว่า เพราะทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของผู้บริหารกรุงเทพมหานครเท่านั้น เช่นการตั้งงบประมาณ การใช้จ่ายงบประมาณ เป็นต้น


ในทำนองเดียวกันเขตการปกครองของ กทม.ที่มีการแบ่งเขตการปกครองออกเป็นเขตต่างๆ ปัจจุบันมีจำนวน 50 เขต แต่ละเขตก็มีการจัดตั้งสภาเขตขึ้นด้วย สมาชิกสภาเขตมีชื่อคำย่อว่า สข. นั่นเอง


ทำหน้าที่คล้ายๆกับ สก. แต่ย่อส่วนลงเฉพาะเขตต่างๆเท่านั้น แต่เป็นที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งว่า สข.นี้ ผู้คนในเขตต่างๆมักจะไม่ค่อยรู้ว่าท่านทำงานอะไร ผลงานของท่านนั้นมีอะไรบ้าง ถ้าจะมีการพัฒนาสถานที่ในเขตต่างๆ เช่น ปรับปรุงซอย ลอกคูคลอง ก็มักจะมีป้ายติดตั้ง ณ บริเวณนั้นๆว่า เป็นผลงานของ สก.ท่านหนึ่งท่านใด ที่มีความสามารถแปรงบประมาณมาทำให้ ส่วน สข.นั้นชาวบ้านไม่รู้เลยว่าทำอะไร


ผอ.เขตควรจะมีการประชาสัมพันธ์ให้ชาวบ้านในเขตปกครองทราบว่า สภาเขตนั้นมีหน้าที่ทำอะไร สข.มีบทบาททำอะไร ให้นักเรียนนักศึกษา ชาวบ้าน ทราบ มิใช่มาโหมการโฆษณาประชาสัมพันธ์กันตอนใกล้เลือกตั้ง ชาวบ้านเขาจะไปเข้าใจได้อย่างไร


แม้ผมเองจะพยายามติดตามผลงานของ สก. สข.มาอย่างต่อเนื่อง ยังไม่ทราบเลยว่า ผู้ที่มาลงรับสมัครเลือกตั้งนั้นเป็นใคร อยู่ที่ไหน มีอาชีพอะไร จู่ๆก็มาเสนอหน้าอยู่ตามโปสเตอร์หาเสียงริมถนน


กทม.หรือ เขตต่างๆ และพรรคการเมืองทั้งหลาย ที่ส่งผู้สมัคร สก. สข. ช่วยประชาสัมพันธ์ให้ชาวบ้านเขามีความเข้าใจที่ดีด้วยเถอะ ไม่ใช่มาบ่นน้อยใจว่าประชาชนไม่สนใจใช้สิทธิ์ในการเลือกตั้ง


ก็พวกท่านนั่นแหละไม่ทำการบ้านให้ดีแล้วจะมาโวยวายอะไรกับชาวบ้านเขา